นายเคล้า แก้วเพชร
นักสร้างนวัตกรรมการแก้ปัญหาอย่างแยบยล
นายเคล้า แก้วเพชร เกิดเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๔๘๐ ณ หมู่ ๑ บ้านนาหว้า อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา บุตรนายจันทร-นางนุ้ย แก้วเพชร เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนบ้านนาหว้า และอุปสมบทจนสอบได้นักธรรมตรี หลังจากนั้นเข้ารับการเกณฑ์ทหารสอบได้ยศสิบตรีกองประจำการ ต่อมาลาออกจากการเป็นทหาร เพื่อแต่งงานมีครอบครัว ในระหว่างรับราชการทหารและครองเรือน ได้ใช้หลักธรรมทางศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจชี้นำตนเองให้เป็นคนดี มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอมา และจากการเป็นผู้ที่ยึดมั่นอยู่ในหลักธรรมของศาสนานี้เอง จึงเป็นพลังสำคัญที่ทำให้นายเคล้าได้นำมาใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเองและของชุมชนนาหว้าให้ดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข
ความพยายามของนายเคล้าเริ่มเห็นผลสำเร็จในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ จากวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๒๒ ได้เริ่มต้นทำการจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านสามารถรวบรวมสมาชิกได้ ๕๖ คน ในช่วงแรกมีคนลงขันเพียง ๘๖๐ บาท รวมค่าสมัครอีก ๕๖๐ บาท รวมเป็นเงินก้อนแรก ๑,๔๒๐ บาท แต่ปัจจุบันมีสมาชิกมากถึง ๑,๗๔๐ คน มีเงินหมุนเวียนในกองทุนบ้านนาหว้าเกือบ ๔๐ ล้านบาท สิ่งสำคัญที่ทำให้กองทุนมีเงินเพิ่มพูนมากขึ้น เป็นเพราะมีความซื่อสัตย์เป็นสำคัญ ซึ่งนายเคล้านำมาใช้กล่อมเกลาจิตใจคนในชุมชน ให้เป็นคนดีมีสัจจะในการเก็บออม เพื่อประโยชน์ทั้งของส่วนตนและส่วนรวม
นายเคล้าไม่ได้จัดตั้งเพียงกองทุนออมทรัพย์เท่านั้น แต่ได้ทำการต่อยอดการใช้ดอกผลจัดสรรเป็นกองทุนขนาดเล็กอื่นๆ อีก ๖๓ กองทุนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของสมาชิกตั้งแต่เกิดจนตาย รวมเรียกว่า กองทุนสวัสดิการชุมชน กองทุนเหล่านี้แบ่งเป็นประเภทต่างๆ ได้แก่ ด้านการพัฒนาอาชีพ ด้านการใช้สอยเพื่ออาชีพและคุณภาพชีวิต ด้านการศึกษา ด้านพิธีกรรมและประเพณี ด้านกลุ่ม ชมรมและศูนย์ กองทุนพิเศษและฉุกเฉิน และกองทุนฌาปนกิจ ซึ่งล้วนเกี่ยวเนื่องกับวิถีชีวิตของชุมชนทั้งสิ้น ทำให้บ้านนาหว้ามีคณะกรรมการบริหารกองทุนรวม ๖๓ กองทุน จากชาวบ้านทั้งหมดเพียงประมาณ ๑๘๐ ครัวเรือน การทำงานของนายเคล้ายึดหลักการวางระบบให้ชัดเจนทั้งระบบบัญชีและระบบการบริหารจัดการรวมทั้งการมี คุณธรรม โดยยึดหลัก ๕ ประการได้แก่ ความซื่อสัตย์ การเสียสละเพื่อส่วนรวม มีความรับผิดชอบร่วมกัน มีความเห็นอกเห็นใจกัน และไว้วางใจกัน
นายเคล้ามีวิธีการถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อแก้ปัญหาหนี้สินของชาวบ้าน ซึ่งเป็นที่สนใจของชาวบ้านและนักวิชาการที่ไปขอศึกษาดูงานอยู่เสมอๆ วิธีการถ่ายทอดความรู้ของนายเคล้า จะใช้การบรรยายและ การนำชมศูนย์สาธิตที่ทำการของกลุ่มแม่บ้าน นายเคล้าได้เชื่อมโยงกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีในชุมชนทุกระดับให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการก่อตั้งเครือข่ายองค์กรชาวบ้านทั้งในระดับชุมชน ระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับชาติ เรียกว่า “เครือข่ายรวมน้ำใจ” เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันเรียกว่า “กองทุนรวมน้ำใจ”
นายเคล้าได้รับการชื่นชมว่าเป็นผู้มีเทคนิคการใช้เงินเป็นเครื่องมือได้อย่างประหยัดและแยบยล ในการพัฒนาชีวิตและชุมชน โดยการจัดการของนายเคล้าส่วนใหญ่จะเน้นการนำดอกผลของ กลุ่มออมทรัพย์มาจัดสวัสดิการให้แก่ประชาชนในหมู่บ้าน สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาด้านสังคมและเศรษฐกิจของประชาชนในชุมชนได้เป็นอย่างดี คนพิการ ผู้สูงอายุ เยาวชน ผู้ประสบภัย รวมทั้งประชาชนทั่วไปได้รับสวัสดิการในการประกอบอาชีพ เงินหมุนเวียนที่ให้สมาชิกกู้ยืมจำนวน ๓๓ ล้านบาทเศษ คือความสำเร็จของกระบวนการบริหารจัดการของกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านนาหว้า
นายเคล้าได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นบุคคลผู้ทรงภูมิปัญญาได้แก่ พ.ศ. ๒๕๒๕ รับโล่รางวัลพัฒนาชุมชนดีเด่นประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๕ และ ๒๕๔๑ รับโล่รางวัลผู้นำดีเด่นการเผยแพร่ชุมชนเข้มแข็ง จากกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. ๒๕๓๘-๒๕๔๒ เป็นกรรมการบริหารสภาวัฒนธรรมจังหวัดสงขลา พ.ศ. ๒๕๔๐ รับรางวัล “คนดีศรีสังคม” จากมูลนิธิหมู่บ้านร่วมกับมูลนิธิหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๐ รับโล่รางวัลการเลี้ยงปศุสัตว์ของกลุ่มเลี้ยงโคดีเด่นแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๕ รางวัล ครูภูมิปัญญาไทย ด้านกองทุนและธุรกิจชุมชน จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
นายเคล้ามีคุณูปการต่อสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชนโดยสนับสนุนช่วยเหลือ ศปจ.สงขลาในการ จัดกระบวนการเรียนรู้หลายวิชา เช่น การจัดการทุนของชุมชนเพื่อสวัสดิการชุมชน นักศึกษามีโอกาสได้ศึกษาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยตรงกับนายเคล้า และได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน จึงเชิดชูเกียรติ
นายเคล้า แก้วเพชร
เป็น “เมธาจารย์มหาวิทยาลัยชีวิต”